แชร์ประสบการณ์กระตุ้นคลอด >> ผ่าคลอด กับยุคโควิดระบาดรอบที่ 3
เราฝากครรภ์กับหมอที่คลินิก คลอดที่รพ. ค่ะ อายุครรภ์ได้ 40 สัปดาห์ ยังไม่คลอด หมอนัดพอดี จึงตกลงว่าจะให้คุณหมอกระตุ้นคลอดให้ หมอนัดอีก 2 วันให้ไปที่รพ. เพื่อทำ nst ดูการบีบตัวของมดลูกและการเต้นหัวใจของเด็ก ผลปกติ คืนนั้นเรานอนรพ. หมอให้เหน็บยาทางช่องคลอดก่อนนอน เพื่อให้มดลูกบีบรัด ก่อนเหน็บยา หมอวัดปากมดลูก ผลคือยังไม่เปิด (วัดปากมดลูกครั้งแรกของเราคือ เจ็บมากกก ค่ะ แต่ก็ต้องทน) จากนั้นจึงเหน็บยาให้ พยบ. แจ้งว่าหากมีน้ำเดิน มูกเลือด มดลูกบีบตัวถี่ ให้แจ้งค่ะ และงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน เพราะเผื่อว่าจำเป็นต้องผ่าคลอด พอประมาณตีสาม ตื่นมาด้วยปวดบีบท้อง บีบทุกๆ 3 นาที บีบนาน 1 นาที ปวดแบบพอทนได้ จึงไม่ได้บอกพยบ. (เราเคยปวดบีบตอน 29 สัปดาห์ มารพ. คือเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด จำได้ว่าตอนนั้นจะปวดมากกว่านี้) เรารอจนหกโมงเช้า พยบ. ก็มาสวนก้นให้ ประสบการณ์สวนก้นครั้งแรก คือออกดีมาก หมดไส้หมดพุง เราก็บอกพยบ. ว่ามดลูกบีบตั้งแต่ตีสาม จากนั้นประมาณเกือบๆ 7 โมงเช้าก็เข็นเรามาที่ห้องคลอด ติดเครื่องวัด nst ตลอด เพื่อรอหมอที่เราฝากครรภ์มาประเมินค่ะ ระหว่างรอมดลูกก็บีบสม่ำเสมอตลอด มีพยบ. เข้ามาประเมินระดับความปวดเป็นระยะ เราให้คะแนนความปวดที่ 3-4 ค่ะ ได้ยินพยบ. คุยกับหมอว่ามดลูกเราบีบตัวสม่ำเสมอหลังเหน็บยา จึงไม่ต้องให้ยาเร่งคลอดทางหลอดเลือด จากนั้นประมาณ 10 โมง คุณหมอก็มาวัดปากมดลูกเรา แจ้งว่าไม่เปิดเลย (induction fail) ต้องผ่าคลอด หลังจากคุณหมอแจ้ง จนท. ห้องคลอด และพยบ. ก็มาเปลี่ยนน้ำเกลือ ใส่สายสวนปัสสาวะให้เรา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก (ตอนใส่สายสวนเราไม่เจ็บเลย) แต่เมื่อแจ้งไปยังห้องผ่าตัด ปรากฎว่า เคสผ่าตัดถ้าไม่ฉุกเฉิน ต้องตรวจ swab หรือแยงจมูกเพื่อตรวจเชื้อ covid-19 ก่อน ซึ่งเราก็ไม่ฉุกเฉิน เพราะหัวใจน้องยังเต้นปกติอยู่ เราจึงต้องตรวจ covid และรอผลอีก 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ระหว่างนั้นเราก็นอนรอที่ห้องคลอดค่ะ ใส่สายสวนคาไว้ มดลูกก็บีบตัวเป็นระยะ ระดับความปวดจาก 3-4 ก็เพิ่มขึ้นๆ แต่ก็ต้องทนค่ะ และหิวด้วย เพราะอดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน ระหว่างรอก็ดูคนอื่นค่อยๆเข็นเข้าห้องคลอดไปทีละคน เรารอจนประมาณสองทุ่ม (นอนดูนาฬิกาไปเรื่อยๆเลยค่ะ หลับก็ไม่หลับเพราะปวด) ผลตรวจ covid. เราคือไม่พบเชื้อ จึงได้ผ่า เค้าก็เข็นเราไปที่ห้องผ่าตัด เข้าไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า (จนท. เปลี่ยนให้) และเข็นเข้าห้องผ่าตัด จากนั้นก็ติดเครื่องวัดความดัน ชีพจร อะไรอีกมากที่ตัว (เราต้องใส่ผ้าปิดจมูกตลอดเวลา) ให้เราดูดยาเคลือบกระเพาะ นอนตะแคง เข่างอชนกับหน้าท้องให้มากที่สุด ขดเป็นกุ้งให้มากที่สุดน่ะค่ะ จากนั้นวิสัญญีก็เข้ามา พร้อมแจ้งว่าจะบล๊อคหลัง หากไม่สำเร็จต้องดมยา ก่อนแทงเข็ม บอกให้เรานิ่งให้มาก อย่าขยับหรือเกร็ง เราก็พยายามค่ะ มีกระตุกตอนเข็มจิ้มนิดนึง เมื่อฉีดเสร็จ เรารู้สึกชาตั้งแต่เท้า แต่ปลายนิ้วยังขยับได้นิดๆ รู้สึกแปล๊บๆ จากนั้นก็ปรับเตียงให้หัวเราต่ำลงหน่อย และประเมินตำแหน่งชาของเราค่ะ โดยเอาไม้จิ้มฟันแหลมๆ จิ้มที่ไหล่เรา ว่าปกติจะรู้สึกเท่านี้นะ จากนั้นจิ้มไปที่ขา น่อง ขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมให้เราบอกว่ายังรู้สึกมีอะไรจิ้มๆอยู่มั้ย น้อยกว่าหรือเท่ากับตอนจิ้มที่ไหล่ บางจุดก็ตอบยากค่ะ แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรจิ้ม แม้จะไม่ปวด เราก็บอกว่ายังรู้อยู่ว่ามีอะไรมาจิ้ม เมื่อประเมินว่าผ่าคลอดได้ คุณหมอก็เข้ามาทำการผ่าค่ะ (มีที่กั้น ไม่ให้เราเห็นขั้นตอน แต่ยังรู้สึกตัวค่ะ) ระหว่างผ่า ไม่รู้สึกเจ็บค่ะ ผ่านไปกี่นาทีไม่รู้ก็ได้ยินเสียงคุณหมอ กับจนท. พูดอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่เรารู้ได้ว่าน้องออกมาแล้วค่ะ จากนั้นคุณหมอก็ทำการเย็บแผล ระหว่างเย็บ เราเริ่มรู้สึกแน่น หายใจไม่ออก เหมือนอยากจะอาเจียน (เราต้องใส่ผ้าปิดจมูกตลอดเวลา) ตอนนั้นขยับตัวไม่ได้ ก็ส่ายหัวไปมา จนมีพยบ. เข้ามาถามอาการ เราก็บอกไปว่าอยากอาเจียน ก็อาเจียนออกมาแต่น้ำลายเพราะไม่ได้กินอะไรเลย จากนั้นพยบ. ก็นำน้องมาให้ดู ยืนยันเพศ ป้ายชื่อข้อมือ ข้อเท้า ว่าถูกต้องหรือไม่ รอหมอเย็บแผลเสร็จ เค้าก็เอาผ้ามาปิดตาเรา ปรับเตียงให้เรานอนราบ และเช็ดทำความสะอาดตัวเรา (น่าจะเป็นพวกคราบเลือด เบต้าดีน) เข็นเราไปที่ห้องแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าให้เรา ตอนนั้นขาทั้งสองข้างรู้สึกว่ายังมีขา แต่มันเหมือนขาลอยๆ ขยับไม่ได้ และก็พาเรามาที่ห้องพักฟื้น ก็ให้เรานอน และจะมาคอยสอบถามเรื่อยๆว่าพอขยับขาได้หรือยัง เมื่อขยับขาได้นิดหน่อย จึงย้ายเราไปนอนพักที่หอผู้ป่วยค่ะ เราเวียนหัวมาก ลืมตาแล้วเพดานหมุน มาถึงห้องพัก เรานอนเลย และคืนนั้นก็เป็นคืนที่เราจะได้หลับยาวที่สุดค่ะ (หลังจากคืนนั้นคือเลี้ยงลูก 😂) ตื่นมาตอนเช้ายังกินอะไรไม่ได้นอกจากน้ำเปล่า ตอนเที่ยงเป็นน้ำหวาน มื้อเย็นจึงเริ่มเป็นอาหารอ่อน ข้าวต้มค่ะ กินสองสามคำท้องอืด ปวดแผล ก็ต้องพักก่อนแล้วค่อยกินต่อ พยายามเดิน ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่า คลอดเองน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า #ลูกคนแรก