คลีนิคบำบัด
วันนี้อยากจะมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับน้องชายตัวเองนะคะ ที่บ้านเรามีพี่น้อง5คน เราเป็นพี่คนโต เรื่องราวนี้เป็นของน้องชายคนที่4 เขาเป็นลูกครึ่งไทยเดนมาร์ก ตอนยังเป็นเบบี้น้องกับแม่อาศัยที่เดนมาร์ก แต่พอได้ซัก2ขวบ แม่เลิกกับแฟน ทำให้มาย้ายกลับมาที่ไทย น้องอยู่ที่ไทยได้จนถึง5-6ขวบ แม่ก็ย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน ช่วงแรกคุณครูของน้องแนะนำแม่ให้พาน้องไปพบนักบำบัด เพราะน้องเพิ่งย้ายมาอาจส่งผลต่อเด็กในหลายๆเรื่อง ทั้งภาษา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การพาไปหาผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยให้น้องรู้สึกผ่อนคลายขึ้น (เราคิดว่ามันดีมากๆ) แม่เราเองเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก แม่เลี้ยงลูก5คนได้ แต่โรคซึมเศร้าก็มาเยือนโดยเราไม่รู้ตัว แม่เครียดแต่แม่ไม่เคยบอกใคร ช่วงนั้นแม่เหมือนคนที่คุมอะไรไม่อยู่ คุมสติตัวเองไม่ได้ ด่าน้องตีน้อง ตอนนั้นเราเองก็คิดว่าแม่ทำเกินไป จนมารู้ว่าแม่เป็นโรคซึมเศร้าก็ตอนแม่กินยาฆ่าตัวตายแต่เพื่อนแม่ช่วยไว้ได้ทัน แม่ถูกบำบัดที่รพ.เดือนกว่าๆ ตอนนี้แม่เป็นปกติแล้ว แต่ยังต้องไปพบหมอเป็นระยะตามนัด ผลร้ายนั้นส่งผลมาถึงน้องชายเรา ด้วยความที่เขาติดแม่มากๆ ทำให้ได้รับผลกระทบเต็มๆ น้องควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เวลาโกรธ และมันเริ่มที่จะหนักขึ้นทุกวัน ตอนนี้น้องได้10ขวบแล้ว เวลาโกรธน้องจะทำลายข้าวของหนักที่สุดคือน้องทำร้ายแม่ด้วย แม่พาน้องชายไปพบจิตแพทย์เด็ก จากการประเมินหลายขั้นตอน หมอลงความเห็นว่าน้องต้องการความช่วยเหลือ น้องต้องถูกส่งไปคลีนิคบำบัดเป็นเวลา2เดือนเต็ม น้องชายเราเข้าใจดีและเต็มใจที่จะไป น้องรักแม่มากๆ เวลาปกติน้องเป็นเด็กที่น่ารักมาก มีเพียงตอนโมโหน้องควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ และเมื่อน้องหายน้องจะสำนึกผิดทุกครั้ง และน้องบอกว่าไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว จึงยอมไปโดยดี แม่บอกว่าที่คลีนิคบำบัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นเหมือนการเข้าค่ายที่นานหน่อย น้องแค่ต้องใช้ชีวิตตามระเบียบที่กำหนดไว้ น้องจะมีวินัยมากขึ้น น้องจะได้ดูแลสัตว์ในฟาร์ม น้องจะมีความรับผิดชอบขึ้นและสัตว์จะช่วยให้น้องมีความอ่อนโยนมากขึ้น ตอนนี้เราเองก็หวังใจให้น้องชายเรากลับมาเป็นเด็กที่น่ารักได้เหมือนเดิม สิ่งที่อยากฝากไว้คือเราไม่ควรปล่อยปะละเลยพฤติกรรมของเด็ก อย่าคิดว่ายังเด็กอยู่เดี๋ยวโตมาก็หายเอง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเห็นว่าเด็กกำลังเกรี้ยวกราด มองให้ลึกถึงจิตใจของเขาและมองให้ไกลถึงอนาคตที่จะตามมา