ขออนุญาติแชร์ประสบการณ์สูญเสียน้องจากอาการท้องแข็ง และภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดค่ะ
เมื่อประมาณ 29 weeks ได้นั่งรถผ่านซอยลึกที่เป็นหลุมท่อระบายน้ำทั้งซอย แฟนขับค่ะ พยายามขับเบาๆแล้ว แต่การกระแทกเป็นแบบเหวี่ยงซ้ายขวา ซ้ายขวา พอลงจากรถ รู้สึกเจ็บเสียดมากทั้งท้อง และมีอาการท้องแข็งไปทั้งท้อง ลองศึกษาหาข้อมูล ไม่ใช่อาการแข็งคลาย- แข็งคลายเป็นจังหวะเหมือนจะคลอด แต่เป็นอาการแข็งค้างทั้งท้อง กังวลใจจึงโทรถามโรงพยาบาล คุณหมอติดเคส พยาบาลบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นให้ไปหาหมอ พยายามถามย้ำว่าแข็ง-คลายเป็นจังหวะไหม แต่เราบอกไม่ใช่ เขาเลยบอกงั้นไม่ได้เจ็บคลอดให้พักดูอาการ และนี่คืออาการท้องแข็งครั้งแรกค่ะ พักอยู่บ้าน 4 วัน สังเกตมันคล้ายๆกล้ามเนื้อท้องอักเสบเหมือนเราออกกำลังกาย แต่อาการค่อยๆดีขึ้นจนหาย พยายามบอก-ถามคนอื่นที่เคยมีลูกว่าเรามีอาการท้องแข็งเวลานั่งรถ กระทั่งคุณหมอ หรือโรงพยาบาลเวลาโทรไปถาม ก็ไม่เห็นมีใครเตือนถึงความอันตราย หรือแนะนำว่าควรทำไม่ทำอะไร กลับบอกว่าท้องแข็งจากการใช้ชีวิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และไม่เกี่ยวกับการนั่งรถ ผ่านมาจน 32 weeks ค่ะ นั่งรถไปทำงานตอนเช้า แฟนขับผ่านร่อง 2 ร่องติด อาการท้องแข็งกลับมาอีก แต่ไม่เจ็บ แค่ตึงๆไปทั้งท้อง จนขากลับตอนกลางคืนก่อนนอนยังไม่คลาย รู้สึกไม่อยากสะเทือนอีก จึงลางาน พักอยู่บ้านไม่ลงบันไดเลย 2 วัน แล้ววันต่อมาดีขึ้น จึงไปทำงานค่ะ และวันนี้เอง ขากลับฝนตกรถติดมาก นั่งรถ 1 ชม. ครึ่ง แฟนพยายามขับเบาที่สุด ถึงบ้าน 3 ทุ่มครึ่ง และในเวลา 23.30 น. เริ่มมีอาการเจ็บท้องน้อย คล้ายๆปวดถ่ายเวลา อาการเจ็บแบบมดลูกบีบตัวหนักและสลับเบา ในขณะที่ท้องยังคงแข็งค้าง ซึ่งตรงกับอาการเจ็บคลอดที่ศึกษามา เลยโทรถามโรงพยาบาลใกล้บ้าน (เป็นรพ.เอกชนที่เคยฝากครรภ์ตอนแรก แต่ย้ายไปรพ.รัฐตอนเดือนที่ 6) ตั้งใจจะไปรพ.เอกชนใกล้บ้านเพื่อจะไปฉีดยาระงับคลอดเฉยๆ ไม่อยากนั่งรถให้มันกระเทือนไปไกลถึงรพ.รัฐที่เพิ่งย้ายไป (เคยอ่านมาอาการแบบนี้คือเจ็บคลอดแต่ 32 weeks รพ.จะไม่ให้คลอด) ซึ่งก็ตรงกับกับที่พยาบาลบอกทางโทรศัพท์ ว่าให้มาฉีดยาระงับคลอดที่นี่ได้ เราถึงรพ. เที่ยงคืนกว่า ระหว่างย้ายไปเตียงตรวจ ทันใดนั้นรู้สึกมีน้ำแตกโป๊ะออกมา เนื่องจากมีการเกร็งท้องตอนขยับตัวย้ายเตียง พยาบาลเปิดดูเป็นเลือดผสมน้ำคร่ำ ตอนนั้นคุณหมอที่เราเคยฝากครรภ์มีเคสผ่าตัดอยู่พอดี รอแกเสร็จเคสแรกประมาณ 15 นาที ระหว่างนั้นหมอเวรก็มาตรวจมาส่องดู พอคุณหมอที่เราเคยฝากครรภ์มา ก็บอกว่าให้ไปรพ.รัฐที่ย้ายไปดีกว่า เผื่อระงับไม่ได้จะได้คลอดที่นั่นเลย ใจเราตอนนั้นที่รีบมาที่นี่เพราะ 1.ไม่อยากนั่งกระเทือนไปไกล 2.หวังจะแค่มาฉีดระงับเฉยๆตามที่พยาบาลแนะนำและศึกษามา สุดท้ายคุณหมอก็พยายามบอกว่าให้ไปเถอะเนื่องด้วย 1.ถ้าเผื่อระงับไม่ได้ เกิดคลอดที่นี่ ค่าใช้จ่ายจะสูงมากนะ มันจะบานปลายมาก เพราะเป็นคลอดก่อนกำหนด บลาๆๆ.. 2.หมอมีเคสผ่าตัดต่อ 28 weeks รออยู่ บอกว่าของเรายังสบายๆ ปากมดลูกเปิดแค่ 2 เซนเอง ให้เรานั่งรถไปรพ.รัฐที่ฝากครรภ์ แค่ครึ่งชม. สบายๆ บอกว่าไปที่นู่นหรืออยู่นี่ก็รักษาก็เหมือนกัน คือให้ยาระงับคลอด คุณหมอแจ้งมาแบบนี้ พร้อมกับน้ำเสียงที่เหมือนกับไม่อยากรับเคสเรา เพราะแกดูยุ่งมาก เราจึงตัดสินใจกัดฟัน ย้ายตัวเองไปทั้งๆเลือดเต็มกระโปรง นาทีนั้นเรียกว่ากลัวมากๆ ปวดมาก ตอนแรกจะเป็นลมแต่ก็กัดฟัน บอกทางแฟนจนถึงรพ. ในเวลาตีหนึ่งครึ่ง รอหมอเวรตรวจดูปากมดลูก และรอเบิกยา กว่าจะได้ฉีดเข้าน้ำเกลือก็เวลาตี 3 เราอาเจียรขณะรอด้วย เวียนหัว เสียเลือด เป็นช่วงเวลาที่กลัวและทรมานที่สุดในชีวิต หลังจากได้ยา อาการปวดทุเลาลง เราเผลองีบไปจนเกือบตี 5 อาการปวดกลับมาอีก แบบทรมานจะทนไม่ไหว บอกหมอเวร ก็ทำแค่ให้นักศึกษาแพทย์มาเฝ้าจับจังหวะการบีบตัวของมดลูก และเราก็ได้ยินเสียงหัวใจน้องเต้นช้าลง หมอเวรรีบเอาอ็อกซิเจนมาใส่ให้เรา และเอาเครื่องมาฟังเสียงหัวใจที่ท้อง และเสียงก็กลับมาเต้นเร็วเป็นปกติ จากนั้นก็ปล่อยเราไว้อย่างนั้น แต่อาการปวดเรายังไม่ดีขึ้น มันทรมานมากดิ้นไปมาอยู่บนเตียง เราพยายามบอกเรียกพยาบาลหรือทุกคนที่เข้ามาดู มาศึกษา สุดท้ายเวลาประมาณ 9 โมงกว่า เราได้ยินเสียงหัวใจน้องเต้นช้าลงอีกครั้ง เราพยายามตะโกนเรียกหมอเพราะไม่มีใครอยู่ คนที่ทำหน้าที่เฝ้าดูการบีบมดลูกมา ได้ยินเสียงหัวใจน้องจึงเรียกหมอเวร หมอเวรถือเครื่องมาฟังที่ท้องอีกครั้ง และได้ยินเขาคุยกันว่า "...จริงๆ โทรแจ้งอาจารย์หมอเจ้าของครรภ์" (หมอใช้ศัพท์ทางการแพทย์ แต่เข้าใจได้ว่าเป็นภาวะหัวใจเต้นช้าลงจริงๆ) จากนั้นไม่ถึง 10 นาทีเราถูกย้ายไปห้องผ่าตัดเตรียมผ่าฉุกเฉิน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากตอนนั้น เราใจคอไม่ดีเลย และก็สลบไปในเวลาที่รวดเร็วมาก ฟื้นมาอีกที แฟนเราบอกว่าน้องขาดอ็อกซิเจนไปครึ่งชั่วโมง จากภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด น้องไม่รับรู้อะไรแล้ว... และนี่คือสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เราพยายามศึกษามาตลอดถึงอาการท้องแข็ง แต่ไม่มีข้อมูลที่บอกถึงภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดนี้ หมอบอกเราไม่มีภาวะเสี่ยงเลย จึงไม่ได้คิดถึงภาวะนี้ เมื่อผ่าท้องออกจึงได้เพิ่งเห็น บอกเป็นอาการเฉียบพลัน หมอบอกได้แค่ว่า หมอเสียใจ หมอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น เราไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยของภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด แต่คำถามในใจเราที่ซ้ำวนเวียนอยู่จนถึงตอนนี้ คือ ถ้าหมอเอะใจ หรือผ่าออกตั้งแต่หัวใจน้องเต้นช้ารอบแรก น้องก็จะรอดจากภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด เพราะอาการนี้เพิ่งเกิดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนผ่าตัด (ตรวจดูจากการขาดอ็อกซิเจนของน้อง) แต่คุณหมอก็แจ้งว่าไม่ใช่แนวทางการรักษาที่ถูกต้อง แจ้งว่า 32 weeks ยังไงก็ต้องระงับคลอดถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นที่จำเป็นต้องผ่า แต่คำถามคือ เราคือมีอาการผิดปกติรอบแรกคือหัวใจน้องเต้นช้าลง ทำไมไม่ผ่าตั้งแต่ตอนนั้น แต่หมอก็ยังบอกว่ามันเป็นเพราะ"เครื่องตรวจมันคลาดเคลื่อนได้" และยังยืนยันว่าผ่าไม่ได้เพราะไม่มีอาการบ่งชี้ถึงภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดเลย แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่หมอไม่ได้เอามาคิด ที่หมอบอกเองว่าหมอไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็น คิดไม่ถึง.. ไม่ได้อยู่ในประเด็นเสี่ยงที่จะเอามาพิจารณา สุดท้ายแล้ว มันคือประเด็นที่หมอพลาดไป ที่ทำให้เกิดความสูญเสียในครั้งนี้ เราพยายามบอกว่ามันคือการวินิจฉัยอาการที่ผิดพลาดรึเปล่า หรือหากคุณหมอมาดูอาการอยู่หน้างาน ณ ตอนนั้น ด้วยความเป็นสัญชาติญาณของระดับอาจารย์หมอ อาจทำให้ดูสถานการณ์ออกหรือไม่ เพราะในเหตุการณ์วันนั้น เป็นหมอเวรเดินมาดูเป็นระยะและคอยโทรรายงานอาจารย์หมอเจ้าของไข้ ตั้งแต่เวลา ตี 3 จน 9 โมง ที่เหลือเป็นนักศึกษาแพทย์ที่คอยดูอาการ คำตอบของอาจารย์หมอเป็นที่ค้างคาใจของเรามาก อยากทำเรื่องร้องเรียนถึงกระบวนการรักษา แต่แฟนก็ไม่อยากให้เป็นเวรกรรมต่อน้อง ตอนนี้ผ่านมา 1 อาทิตย์ ยังไม่ได้ส่งเรื่องร้องเรียนไป กำลังทำใจอยู่.. ร้องไห้ทุกวัน ขอสรุปโพสนี้ดังนี้นะคะ 1.คนท้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนทำงานหนักจนคลอด ออกมาแข็งแรง ไม่ต้องไปฟังคนพูดเปรียบเทียบค่ะ หากเรารู้สึกผิดปกติเพียงเล็กน้อยให้รีบโวยวายอย่าปล่อยไว้ค่ะ บางทีคุณหมอก็มักจะหาว่าเราคิดมาก 2.เราควรทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นคะ ตอนนี้พึ่งทางธรรมะให้จิตใจสงบ แต่เหตุการณ์และความเจ็บปวดในห้องรอคลอดวันนั้นมันเหมือนฝันร้าย มันยังย้ำอยู่ตลอด ว่าถ้าหากเค้าผ่าเร็วกว่านี้ น้องก็รอด ขออภัยที่เขียนยาวไปหน่อยค่ะ อยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับแม่ๆท่านอื่นๆค่ะ