วันนี้ขอเล่าประสบการณ์ผ่าคลอดให้กับคุณแม่มือใหม่ที่เตรียมจะผ่าคลอดครั้งแรก และคุณแม่ที่ยังลังเลว่าจะคลอดเองดี หรือผ่าคลอดดี ให้ได้ฟังกันนะคะ หลายคนพอรู้ว่าท้องก็คงวางแผนคลอดกันไว้ในใจบ้างแล้ว แม่คนนี้ก็เหมือนกัน ความตั้งใจแรกคือผ่าคลอด เพราะไม่ต้องมาลุ้นว่าจะคลอดตอนไหน หรือเกิดคลอดตอนกลางคืนจะวุ่นวายไหม แต่พอมาช่วงไตรมาสสองก็เปลี่ยนใจอยากคลอดเองเพราะลูกจะมีภูมิคุ้มกันดีกว่า แต่พอเอาเข้าจริงสัปดาห์ที่ 38 คุณหมอวัดความดันปรากฏว่าปาเข้าไป 153 คุณหมอบอกว่าผ่าคลอดดีกว่า (ทุกครั้งที่ไปหาหมอวัดความดันไม่เคยผ่านเลย แม่อ้วนด้วยจ้า หนัก 113 เลย) สรุปสุดท้ายตกลงว่าผ่า หมอเลยให้เลือกวันที่สะดวกเลย เลยเลือกเป็นวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม คุณหมอนัดให้เข้าแอดมิท และงดน้ำ งดอาหาร 7 โมงเช้า ถึงกำหนด ไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลจับวัดความดัน และชั่งน้ำหนัก และเซ็นเอกสารยินยอมเกี่ยวกับการผ่าตัด รอสักพักคุณหมอที่ผ่าก็เรียกไปวัดกราฟโดยจะมีเข็มขัดมาคาดบริเวณหน้าท้อง แล้วถ้าลูกดิ้นก็ให้กดปุ่ม แล้วหมอก็จะตรวจภายในเพื่อดูว่าปากมดลูกเปิด และตำแหน่งศรีษะเด็ก วันที่ผ่าคือวันครบ 39 week พอดีค่ะ จากนั้นพยาบาลให้นั่ง wheelchair ไปห้องเพื่อเจาะเลือดตรวจ hiv และโรคติดต่อประมาณนั้นค่ะ แล้วก็ต่อสายน้ำเกลือเข้าที่หลังมือ จากนั้นพยาบาลจะเข็นเราไปห้องพัก (จริงๆ อยากเดินเองมาก แต่โรงพยาบาลเอกชน ไม่ยอมให้เดินเอง) พอถึงห้องพัก พยาบาลจะมาเปลี่ยนชุดเป็นชุดของโรงพยาบาล แล้วก็ shave ขนให้ค่ะ จากนั้นนอนรอยาวๆ ไป ช่วงเที่ยงพยาบาลเข้ามาแจ้งว่าหมอ set เวลาผ่าตอน 16.00 ช่วงรอผ่าเริ่มปากแห้งมาก ไม่หิวข้าวแต่ว่าหิวน้ำมากกว่าค่ะ เวลา 15.00 พยาบาลเข้ามาอธิบายวิธีบล็อคหลังให้ฟัง พยาบาลบอกว่าเวลาเข้าห้องผ่าให้เรานอนตะแคงและงอหลังและก้มศรีษะเข้าหาท้องให้ได้มากที่สุดเพื่อหมอจะหาตำแหน่งฉีดยาค่ะ พอถึงเวลาผ่าเจ้าหน้าที่ก็เอาเตียงมาเปลี่ยนและเข็นไปที่ห้องผ่าตัด ในห้องผ่ามีหมอและพยาบาลเกือบ 7-8 คน ได้ค่ะ เราต้องย้ายจากเตียงที่เข็นมาไปเป็นเตียงผ่า หมอคนแรกจะทำการฉีดยาบล๊อคหลัง เราต้องนอนตะแคงและงอหลังจากนั้นหมอจะฉีดยาเข้าที่แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างระดับเอวค่ะ ฉีดยาไม่เจ็บค่ะ แต่พอฉีดแล้ว มันจะรู้สึกอุ่นวาบลงไปที่ขาเลยค่ะ แล้วความชาก็มาเยือน หมออรกคนเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาป้ายที่บริเวณลิ้นปี่ เทียบกับท้องแขนว่ารู้สึกเย็นเหมือนกันไหม เพื่อจะดูว่าชาหรือยังค่ะ จากนั้นหมอจะจัดท่าให้เรานอนหงายกางแขนทั้งสองข้าง ข้างซ้ายเอาที่วัดชีพจรมาหนีบนิ้ว และรัดสายที่แขนไว้ อีกข้างวัดความดันและรัดสายเหมือนกัน จากนั้นเอาฉากมากั่นตรงหน้าอก เอาผ้ามาปิดไม่ให้เราเห็น จากนั้นหมอและพยาบาลจัดการถอดผ้านุ่งออก และกางขาเพื่อใส่ท่อปัสสาวะ ตอนนั้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บ คิดอย่างเดียวว่า มันคือ grand opening แท้ๆ เพราะไม่เคยโป๊ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่เอาเถอะ หมอเห็นมาเยอะแล้วจำไม่ได้หรอก ตอนที่นอนรอผ่า ความที่ไม่เคยผ่านการผ่าตัดมาก่อนเราจะจินตนาการว่ามันจะรู้สึกเหมือนมีดบาดไหม ก็แอบตื่นเต้นอยู่ พอถึงนาทีผ่า หมอที่เราฝากท้องไว้มาถึงก็ลงมือผ่า ความรู้สึกเจ็บเหมือนมีดบาดไม่มีเลย มันรู้สึกหนึบๆ บริเวณท้องมากกว่า โดยเฉพาะตอนที่หมอนำลูกออกมา และดันมดลูกให้เข้าที่ ผ่าครั้งนี้หมอตัดไส้ติ่งออกด้วยเลย เพราะไส้ติ่งไม่ได้มีผลดีผลเสียต่อร่างกาย และการผ่าคลอดมันอยู่ใกล้กับไส้ติ่ง หมอเลยตัดให้เลย เพื่อป้องกันการเป็นไส้ติ่งอักเสบและต้องมาผ่าอีกค่ะ ช่วงผ่ารู้สึกสั่นๆหนาวๆ แต่ก็ทนได้ค่ะ ยิ่งพอได้ยินเสียงลูกร้องมันดีใจบอกไม่ถูก เวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที การผ่าตัดก็เสร็จค่ะ หมอพาลูกมาให้เราดูหน้าและถ่ายรูปให้ ถึงเวลาเปลี่ยนจากเตียงผ่าไปเป็นเตียงเข็น และเข็นเราไปห้องข้างไม่ เอาถุงน้ำร้อนวางไว้บนหน้าอกและนอนพักอีกครึ่งชั่วโมง พอหายหนาวก็เข็นเราไปที่ห้องพักและยกเราไว้บนเตียงนอนในห้องเพราะยาชาจะหมดฤทธิ์ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ ถึงห้องพักประมาณ 6 โมงเย็น ค่ะ วันนี้เราจะยังไม่ได้เจอหน้าลูกค่ะ พยาบาลจะพาลูกไปดูแลให้ก่อนเพราะแม่ยังชาอยู่ มีแต่พ่อบ้านที่วิ่งไปดูหน้าลูกและถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ คืนนั้นทั้งคืนแทบไม่ได้นอน เพราะพยาลจะมาวัดความดัน วัดไข้ทุกๆ 2 ชั่วโมง มาฉีดยาฆ่าเชื้อ เปลี่ยนน้ำเกลือ ทั้งคืนค่ะ วันรุ่งขึ้นหลังจากผ่าแล้วยังคงต้องงดน้ำ งดอาหารอยู่ค่ะเพื่อรอให้ลำไส้พร้อมก่อน วันที่ 2 ก็ยังอยู่กับการวัดไข้ วัดความดันฉีดยาฆ่าเชื้ออยู่เหมือนเดิม วันนี้ทาลิปมันรัวๆไปเลยค่ะเพราะปากแหังมากดึงหลุดเป็นแผ่นเลยค่ะ วันที่ 2 ปวดแผลมาก ค่ะเพราะยาชาหมดฤทธิ์ ปวดมากก็แจ้งพยาบาลได้ค่ะเขาจะมาฉีดยาให้ ช่วงเที่ยงเริ่มพยายามลุกขึ้นนั่งปวดแผลแต่ต้องพยายามค่ะ พอช่วงเย็นก็พยายามลุกขึ้นเดินค่ะเจ็บมากกกกก พ่อบ้านคอยช่วยพยุงเดินค่ะ เรายังก้าวเท้ายากมาก พยายามอยากไปล้างหน้าเช็ดตัวเองให้มันสดชื่นค่ะ ตอนเช้าพยาบาลเช็ดตัวให้มันยังไม่สะใจค่ะ ช่วงเที่ยงพยาบาลเข็นลูกมาให้ค่ะ ได้เจอและเล่นกันเป็นครั้งแรก พอเย็นพยาบาลก็จะพากลับไปที่ห้องเด็กเพื่อดูแลค่ะ พยาบาลถอดสายปัสสาวะออก เวลาฉี่จะขัดๆ เจ็บๆ พอสมควรค่ะ พอเช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 3 หมอมาตรวจดูแผล และนัดหมายเจอที่คลินิกอีก และบอกให้ลองดื่มนมดูก่อนถ้าท้องไม่อืดค่อยเริ่มทานอาหารอ่อนๆได้ โห ดีใจมากอยากกินน้ำมากที่สุดเลยค่ะ ค่อยได้ ทานไปทีละน้อย พอช่วงเย็นก็เริ่มทานอาหารอ่อนๆได้ วันนี้เริ่มเดินเองได้ดีขึ้นแต่ยังเจ็บแผลอยู่ค่ะ เอาลูกเป็นเป้าหมายหัดเดินไปหาลูกค่ะช่วยได้ วันที่ 4 วันนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลตอนเช้าลองเดินเอง ไปเช็ดตัวเอง การฝืนเดิน 2 วันมันช่วยได้จริงๆค่ะ เราสามารถลุกและเดินได้เองโดยไม่ต้องเกาะอะไรเลยค่ะ แล้วก็สามารถทานอาหารได้แล้วแต่ไม่หนักมากเพราะกลัวว่าลำไส้จะทำงานหนักค่ะ ช่วงเที่ยงเปลี่ยนชุดเตรียมเก็บของ พ่อบ้านลงไปชำระค่าใช้จ่าย และได้กลับบ้านประมาณบ่าย 3 ค่ะ ออกจากโรงพยาบาลช่วง 1 อาทิตย์อาบน้ำไม่ได้ต้องเช็ดตัวอย่างเดียวเพื่อไม่ให้แผลโดนน้ำค่ะ อาบน้ำได้ก็คือตอนไปพบหมอแล้วหมอบอกว่าแผลติดดีแล้วให้อาบน้ำได้ โห...การได้อาบน้ำมันมีความสุขม๊ากกกกกกค่ะ
หวังว่าประสบการณ์นี้จะเป็นประโยชน์กับคุณแม่มือใหม่ที่เตรียมจะผ่าคลอดบ้างนะคะ อ้อ..บริบทและการบริการแต่ละโรงพยาบาลอาจแตกต่างกันไป คุณแม่สอบถามข้อมูลจากโรงพยาบาล หรือคนที่เคยใช้บริการที่โรงพยาบาลนั้นๆก่อนนะคะ
Dawroa Juksrirat