4 ตอบกลับ

เป็นธรรมชาติของความรักค่ะ ยิ่งปู่ย่าตายายแล้ว จะรักหลานมากกว่าลูก จะมีความกังวล และเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ ยิ่งในกรณีนี้อากงที่ไม่ได้ทำงานแล้ว จิตใจคงจะจดจ่ออยู่กับหลานสุดที่รัก มีความห่วง กังวลว่าทางโรงเรียนจะดูแลหลานได้ดีเท่าเค้าไหม ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมากับเด็กอนุบาล โรงเรียน และคุณครูย่อมมีวิธีและกระบวนการอยู่แล้ว ควรอธิบายให้อากงเข้าใจว่าสิ่งที่อากงกำลังทำอยู่นั้น ทำให้กระบวนการเหล่านั้นไม่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งจะส่งผลกระทบกับหลานอากงโดยตรง คุณครูควรชี้แนะ อธิบาย โน้มน้าวให้อากงเข้าใจว่าถ้าอากงรักหลานจริงๆแล้วควรปล่อยหลานให้อยู่กับครู รวมถึงคุณครูเองก็จะต้องทำให้อากงเชื่อใจด้วยค่ะว่าจะดูแลหลานอากงเป็นอย่างดี

แนะนำว่าให้คุยกับคุณครูและให้คุณครูอธิบายให้อากงฟังว่าปกติแล้วทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองอยู่ด้วย เพราะจะทำให้เด็กคนอื่นๆไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเค้าไม่มาอยู่ที่โรงเรียนด้วย. และอาจจะเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกับเด็กคนอื่นๆ และอีกอย่างหนึ่งคือทางโรงเรียนต้องการที่จะฝึกเด็กให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีระเบียบวินัยในการอยู่ร่วมในสังคมเพราะฉะนั้นจะขอความร่วมมือจากอากงให้ส่ง แล้วกลับ. แล้วค่อยกลับมารับเด็กตามเวลาที่กำหนดค่ะ. ทางโรงเรียนน่าจะเป็นผู้ที่สามารถคุยกับอากงได้ดีกว่าคนในบ้านนะคะ ลองปรึกษาคุณครูดูค่ะ. คุณครูน่าจะช่วยได้ค่ะ

โดยปกติทางโรงเรียนน่าจะมีการจัดบริเวณรับส่งหรือรอรับไว้อยู่แล้วและน่าจะมีวิธีการหรือแนวทางจิตวิทยาในการพูดคุยกับผู้ปกครองให้เข้าใจ ซึ่งในกรณีของอากง ก็อาจจะคุยทำความเข้าใจกันเป็นกรณีพิเศษนิดหนึ่งและให้ความมั่นใจกับอากง อย่างไรก็ตามทางครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะต้องช่วยคุยอีกแรงแต่หลีกเลี่ยงที่จะคุยไปในแนวว่าถูกโรงเรียนตำหนิมา เพราะส่วนหนึ่งที่โรงเรียนโทรมาก็อาจจะคุยแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ค่ะ

เห็นด้วยกับโรงเรียนนะคะ เพราะเคยเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้คุณครูคุยกับอากงเองเลยเปิดใจคุยและขอความร่วมมือกับอากงโดยตรงเลยไม่จำเป็นต้องผ่านคนอื่นเพราะบางทีถ้าให้พ่อกับแม่คุยกับอากงแกคงไม่ฟังอาจมีปัญหาน้อยใจตามมาทันที แต่ถ้าคุณครูเป็นคนคุยอากงน่าจะให้ความร่วมมือดีกว่าค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

คำถามที่เกี่ยวข้อง

คำถามยอดฮิต

บทความเกี่ยวข้อง