ตอนท้องกินทุเรียนได้มึ้ยคะ
ทุเรียนจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าสารอาหารมากได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี โพแทสเซียม และโฟเลตที่มีอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งโฟเลตเป็นสารอาการที่สำคัญมากสำหรับคนท้องเพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารก ลดภาวะอาการดาวน์ซินโดรม หลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หมอนทองและชะนีไข่ เพราะมีโฟเลตสูง แต่ในทุเรียนก้มี ธาตุโพแทสเซียมและน้ำตาลสูง ส่งผลให้น้ำหนักตัวคุณแม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ยิ่งไม่ควรกินอย่างยิ่งค่ะ นอกจากนี้ทุเรียนยังมีกำมะถันที่ออกฤทธิ์ร้อนแก่ร่างกาย ทำให้เป็นร้อนในง่าย บวกกับอากาศที่กำลังร้อนอบอ้าว หากคุณแม่กินมากเกินไป จะทำให้ร่างกายยิ่งร้อนมาก ความดันโลหิตพุ่งสูง แน่นท้อง และอาจกระทบต่อลูกในครรภ์ถึงขั้นแท้งเลยก็เป็นได้ ดั้งนั้นควรกินได้ครั้งไม่เกิน 1พู เพื่อสุขภาพที่ดีระหว่างดีงครรภ์ แนะนำว่ากินทุเรัยนแล้วใก้กินมังคุดตาม เพราะมังคุดมีฤทธิ์เย็นช่วยแก้อาการร้อนในได้ดี เพราะผลไม้ทั้ง 2ชนิดเกิดมาคู่กัน ราชาและราชินีแห่งผลไม้ สำหรับข้อมูลบางส่วนจากบทความ http://th.theasianparent.com/ไขความลับของทุเรียนที่แม่ท้องต้องรู้/ คุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ
อ่านเพิ่มเติมทุเรียนซึ่งเป็นแหล่งที่มีโฟเลตมากที่สุด สามารถรับประทานเพียง 2 เม็ด ก็จะเท่ากับ ร้อยละ 50 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว ส่วนกล้วยไข่ รับประทานเพียง 2 ลูกต่อวัน ลิ้นจี่ 8 ผล ขนุน 8 ชิ้น เป็นต้น “การรับประทานอาหารควรมีความหลากหลาย เช่น ทุเรียน แม้จะมีโฟเลตสูง แต่ถือเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลและให้พลังงานสูงเช่นกัน ผู้มีโรคประจำตัวบางชนิด อาจรับประทานได้ไม่มากนัก การจัดมื้ออาหารให้มีความสมดุลและหลากหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องเน้นให้มื้ออาหารมีความหลากหลาย สับเปลี่ยนหรือรับประทานอาหารหลายๆชนิด แต่ต้องพอดี ไม่ทานอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะทำให้เกิดความสมดุล อาหารก็จะกลายเป็นยา ไม่ใช่ยาพิษ” รศ.ดร.รัชนี กล่าว
อ่านเพิ่มเติม