เห็นข่าวที่กำลังดังตอนนี้ ผู้หญิงรู้ว่าตัวเองเป็น HIV แต่ปกปิดฝ่ายชาย ไม่ยอมบอก เพราะอ้างว่ารัก แต่ที่จริงคือกลัวจะถูกทิ้ง และไม่อยากเสียอาชีพการงานไป
เราเลยอยากจะมาขอแชร์ประสบการณ์ชีวิตจริงของเรา มาเป็นวิทยาทานแก่ท่านอื่นค่ะ สามีเราเป็น HIV มาก่อนที่จะเจอเรา และรับประทานยาต้านเอาไว้จนเชื้อไม่สามารถตรวจพบได้ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Undetectable ค่ะ สามีเราไม่เคยปกปิดและบอกเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เราคบกัน (ก่อนที่จะมีอะไรกัน) ต้องยอมรับว่าขอบคุณเขามากที่ไม่ปกปิดเรา และมันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่ก่อนที่เขาจะบอกเรา มันเป็นวันเอดส์โลก เราเพิ่งจะอ่านบทความเกี่ยวกับ U=U ซึ่งย่อมาจาก Undetectable= Untransmittable แปลภาษาไทยได้ว่า ถ้าตรวจไม่พบเชื้อเท่ากับไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้ค่ะ เราจึงเกิดความเชื่อมั่นในตัวเขา ไม่รังเกียจ และตัดสินใจที่จะคบกับเขาต่อไปค่ะ
หลังจากนั้น เราศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม ทั้งอ่านบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งงานวิจัยจากทางสภากาชาดไทย หรือจากงานวิจัยของต่างประเทศ จนเรามั่นใจได้ว่า หากคู่นอนของเราตรวจไม่พบเชื้อจริง และไม่มีพฤติกรรมนอกใจ เราสามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเขาได้อย่างปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัย และสามารถมีลูกได้ด้วยตามวิธีธรรมชาติค่ะ
เราใช้ชีวิตอยู่กับเขามา 1 ปีกว่า ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติมาก ทานอาหารร่วมกัน อยู่บ้านเดียวกัน ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน (ใช้บางครั้งค่ะ ที่จริงแม้แต่คนปกติก็ควรแยกเนอะ) เราตัดเล็บให้เขา บางครั้งเราก็ใช้กรรไกรตัดเล็บของเขา เขามีแผลเลือดไหลเราก็เช็ดแผลให้ ในระหว่างนั้นมีเพศสัมพันธ์กันโดยที่ไม่ได้มีการใช้ถุงยางอนามัยเลย สามีเรามองภายนอกดูไม่เหมือนคนที่มีเชื้อใดๆเลย ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและผิวพรรณผุดผ่อง เนื้อตัวขาว ไม่หมองเลยค่ะ
เราได้ลองตรวจเชื้อ HIV ในตอนเดือนที่ 4 ที่เราคบกัน ผลของเราเป็น Negative ค่ะ (ไม่ใช่ว่าเราไม่มั่นใจในตัวเขา หรือไม่เชื่อในงานวิจัยนะ แต่สามีเราเองที่ขอร้องให้เราไปตรวจเพื่อพิสูจน์ เพื่อความสบายใจของเขาเอง) ระหว่างนั้นสามีก็ปรึกษากับหมอที่จ่ายยาต้านให้ หมอเป็นคนพูดเองว่า สามารถมีลูกโดยวิธีธรรมชาติได้ เรากับสามีจึงตั้งใจที่จะมีน้องค่ะ (อย่าเข้าใจผิดนะคะ เราไม่ได้เอาชีวิตลูกมาแขวนบนเส้นด้ายหรือเป็นหนูทดลอง แต่เราตั้งใจมีลูกหลังจากปรึกษาหมอแล้วค่ะ)
หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปีเราตั้งท้อง ก็ได้มีการตรวจคัดกรอง HIV ตามหลักเกณฑ์ของโรงพยาบาล ทั้งตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก และก่อนจะคลอด ผลก็เป็น Negative ทั้ง 2 ครั้งค่ะ รวมเป็น 3 ครั้งทั้งหมดที่เราตรวจ HIV ในระยะเวลาที่คบกันกับเขา
ตรงนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่า U= U จริง ๆ จากประสบการณ์จริงของเรา เราอยากจะฝากให้กับทุกท่านที่กำลังกลัวหรือรังเกียจผู้ติดเชื้อ HIV อยากจะให้เปิดใจและเปลี่ยนความคิดว่าในสมัยนี้มันเป็นโรคที่ธรรมดามาก เหมือนกับเราใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง เขาเป็นเพียงผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย แต่เขาไม่ได้เป็นเอดส์ค่ะ หากผู้ป่วยคนนั้นได้รับยาต้านจนตรวจไม่พบเชื้อแล้ว ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อต่อใดๆได้
ทางสภากาชาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขก็พยายามที่จะรณรงค์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้มีเชื้อสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติ ไม่ต้องปกปิดกับคู่นอนของตนเองต่อไป หรือผู้ที่เพิ่งได้รับเชื้อมาใหม่ๆ ก็จะได้รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อสังคมค่ะ
และถ้าท่านใดที่กำลังสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ HIV ตอนนี้ก็ขอให้รีบไปรับยาต้าน และทำการรักษา เพื่อเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม อย่าทำตัวเองเหมือนกับผู้หญิงคนที่กำลังเป็นข่าวตอนนี้ เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากจะสูญเสียคนรักและไม่อยากจะสูญเสียงานของตนเองไป เราเชื่อว่าหากคนรักของเรารักเรามากพอเขาก็จะไม่ทิ้งเราไปไหนค่ะ (แต่เราก็จะต้องทำตัวให้ปลอดภัยด้วยนะคะ โดยการรับการรักษาจนยาสามารถกดไวรัสไว้ได้) และก็ต้องมีวินัยกินยาทุกวันตรงเวลา ป้องกันเชื้อดื้อยาค่ะ การกินยาต้านตรงเวลาสำคัญมากนะคะ (สามีเรากินตอน 1 ทุ่มเป๊ะ ตั้งนาฬิกาไว้เลยค่ะ)
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ หากท่านใดมีคำถามหรือข้อสงสัย ถามได้นะคะ ถ้าเราสามารถตอบได้ก็จะมาตอบให้ค่ะ อยากจะเผยแพร่ประสบการณ์จริงของเราเพื่อเป็นวิทยาทานให้คนไทยได้มีความเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส HIV และการตรวจที่ไม่พบเชื้อเท่ากับการไม่แพร่เชื้อค่ะ (U=U)
Anonymous