ลูกไปโรงเรียนแล้วติดนิสัยขี้โกหก ปั้นน้ำเป็นตัวค่ะ เวลาทำผิดชอบโยนความผิดให้คนอื่น และที่สำคัญชอบยุให้คนอื่นทะเลาะกันค่ะ (ฟังดูเกินจริงแต่จริงค่ะ) ไปคุยกับครูที่โรงเรียนมา คุณครูบอกว่า โรงเรียนจะช่วยดูอีกทาง แต่ทางบ้านก็ต้องช่วยกัน เพราะพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกส่วนใหญ่มาจากพ่อแม่และครอบครัว ดิฉันควรทำอย่างไร ต้องพาลูกพบจิตแพทย์ไหม หรือต้องไปทั้งครอบครัว

สำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป สามารถแยกแยะความจริงได้แล้ว หากเด็กพูดโกหกอาจมีสาเหตุคือ 1.เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่ไม่ต้องการ กลัวว่าจะถูกทำโทษเมื่อทำผิด เช่น ลูกขโมยเงินพ่อแม่เพื่อเอาไปซื้อของเล่นยอดฮิตเหมือนเพื่อนๆที่โรงเรียน แต่กลัวพ่อแม่จับได้เลยต้องโกหก สำหรับวัยรุ่นปัญหาที่มักจะเจอส่วนใหญ่ก็คือการคบเพื่อน การมีกลุ่มเพื่อนที่อาจจะชักจูงกันไปทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยถูกต้องหรือถูกใจผู้ปกครองมากนัก ก็พยายามหาวิธีการหลบหลีกด้วยการโกหก บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองจับไม่ได้ และบ่อยครั้งที่ผู้ปกครองก็จับได้ ดังนั้น สิ่งที่จะตามมาก็คืออาจจะถูกตำหนิ ดุด่า ในที่สุดพฤติกรรมเหล่านั้นแทนที่จะหายไปกลับยิ่งถูกส่งเสริมให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการตำหนิยิ่งทำให้สถาน การณ์ของปัญหาการโกหกแย่ลง เพราะวัยรุ่นจะยิ่งห่างจากครอบครัวมากขึ้น 2.เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ เช่น เด็กที่รู้สึกเบื่อ เหงา อาจสร้างเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จะได้สนใจตนมากขึ้น หรือเด็กที่รู้สึกว่าตนเองไม่เก่งไม่ดีก็อาจเล่าเรื่องโกหกให้ตัวเองดูดี เพราะอยากให้พ่อแม่ชื่นชม และ 3.เด็กมีความผิดปรกติทางด้านจิตเวช เช่น เด็กที่มีปัญหาเรื่องสติปัญญาบก พร่อง มีปัญหาด้านภาษา เด็ก ที่ป่วยเป็นโรคจิต บางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะพูดเรื่องไม่จริงตามความคิดที่เกิดขึ้นในโลกส่วนตัวจากการที่มีสติปัญญาบกพร่องอยู่ หรือเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า อาจจะไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์ แต่มาแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น พูดโกหก หนีเรียน ลักขโมย เป็นต้น ก็สามารถพบเห็นได้บ่อยทั้งที่บ้านและโรงเรียน หากไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือและ ดูแลได้ 5 ข้อหลักๆดังนี้ 1.พ่อแม่ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกอยู่เสมอ ลูกจะได้มั่นใจในความรักและความ หวังดีของพ่อแม่ เพื่อเวลาที่ลูกทำผิด หรือทำสิ่งไม่ดีลงไป ลูกจะได้กล้าปรึกษาพ่อแม่ ซึ่งจะช่วยไม่ให้ลูกตัดสินใจผิดพลาดจนเกิดผลเสียร้ายแรงตามมา 2.ไม่ควรมีอารมณ์โมโห หรือตำหนิตัวตนของลูกเมื่อลูกทำความผิด แต่ควรจัดการเฉพาะพฤติกรรมที่ผิดเท่านั้น ควรใช้เหตุผลพูดคุยกัน เพื่อลูกจะได้กล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่ตนทำ ควรชื่นชมที่ลูกกล้าสารภาพผิด และแนะนำว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป เพราะการที่ลูกถูกตำหนิและตราหน้าอยู่เรื่อยๆว่าเป็นเด็กไม่ดีจะทำลายความรู้สึกดีที่ลูกมีต่อตนเอง ยิ่งทำให้ลูกมีพฤติกรรมชอบโกหก และบางครั้งพฤติกรรมเหล่านี้อาจรุนแรงมากขึ้นอีก 3.ควรมีความไว้วางใจไม่จับผิดหรือระแวงลูกมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ เช่น บางครั้งลูกกลับบ้านดึก แม่ก็คอยซักถาม จับผิดว่าลูกไปไหน ไปทำอะไร ซึ่งบางทีลูกอาจแค่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน แต่การที่พ่อแม่ซักถามเหมือนไม่ไว้ใจลูกและไต่สวนเหมือนเป็น ผู้กระทำความผิด เด็กก็อาจ ใช้วิธีการโกหกเพื่อให้พ่อแม่ หยุดซักถาม หรือหลบหลีกด้วยการโกหก 4.ควรหลีกเลี่ยงการลง โทษที่รุนแรงเมื่อลูกทำผิดหรือจับโกหกได้ เพราะการลงโทษเป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ยังมีทางออกที่ดีกว่าวิธีการลงโทษคือ การพูดจาเพื่อทำ ความเข้าใจถึงเหตุผลบางประ การของลูก ซึ่งพ่อแม่ต้องมีอารมณ์ที่สงบเพื่อจะรับฟังลูกอย่างจริงใจ 5.เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่พูดโกหกให้ลูกเห็น เพราะลูกอาจเลียนแบบจนติดเป็นนิสัย เข้าใจผิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปรกติที่สามารถทำได้ ที่สำคัญพ่อแม่จะต้องพยายามสังเกตว่าลูกมีอาการป่วยทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า ความบกพร่องทางสติปัญญา หรือมีปัญหาเรื่องภาษาหรือไม่ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้อาจโกหกโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไปเพราะพวกเขาป่วย หากสงสัยว่าลูกมีภาวะดังกล่าวควรพามาพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม http://www.thaihealth.or.th/Content/25476-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81'%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81'.html http://www.thaihealth.or.th/Content/25476-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81'%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81'.html
อ่านเพิ่มเติม